25 ส.ค. 2556

2. นิติกรรม แบบนิติกรรม ความสมบูรณ์ของนิติกรรม

นิติกรรม แบบนิติกรรม ความสมบูรณ์ของนิติกรรม
นิยาม
             ประมลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตาร 149 บัญญัติว่า นิติกรรม หมายความว่า การใดๆ อันกระทำลงโดยชอบด้วยกฏหมาย และด้วยใจสมัคร มุ่งตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล เพื่อจะก่อเปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ

หลักเกณท์ในการพิจณาความสมบูรณ์ของนิติกรรม
           1. ความสามารถของผู้ทำนิติกรรม
           2. วัตถุประสงค์ของนิติกรรม
           3. แบบของนิติกรรม
           4. การแสดงเจตนาทำนิติกรรม

ความสามารถของผู้ทำนิติกรรม
                “การใดมิได้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฏหมายว่าด้วยความสามารถของบุคคล การนั้นเป็นโมฆีนะความ สามารถของนิติกรรม นับว่าเป็นข้อสำคัญเบื้องต้นที่จะต้องคำนึงถึงเป็นประการแรก ทั้งนี้เพราะหากผู้ทำนิติกรรมมีความสามารถบกพร่องก็จะเป็นผลให้นิติกรรมที่ แสดงออกมานั้นมีผลเสื่อมเสียไปด้วยดังนั้นผู้ศึกษาจึงควรมีความเข้าใจในหลักฏกหมายที่บัญญติเกี่ยวกับความสามารถของบุคคลในการทำนิติกรรมก่อน

 วัตถุประสงค์ของนิติกรรม
วัตถุประสงค์ของนิติกรรม คือ สิทธิหรือประโยชน์ที่ผู้แสดงเจตนาทำนิติกรรมมุ่งประสงค์และกำหนดขึ้นในการทำนิติกรรม”[2] ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า วัตถุประสงค์ของนิติกรรม คือ เจตนาที่ผู้แสดงเจตนาต้องการให้ปรากฏผลอย่างใดๆขึ้น    ประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 บัญญัติว่า การ ใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยชัดแจ้ง ด้วยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัย หรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็น โมฆะจากตัวบทของมาตราดังกล่าว สามารถแบ่งได้ดังนี้
(ก) มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยชัดแจ้งด้วย กฎหมาย       ในกรณีนี้ต้องดูเป็นเรื่องว่าฏกหมายห้ามอะไรบ้าง

ตัวอย่าง
            คนต่างด้าวซื้อที่ดินโดยคนไทยเป็นผู้รับโอนแทน วัตถุประสงค์ของสัญญาซื้อขายจึงเป็นการต้องห้ามโดยชัดแจ้งโดยกฏหมาย เพราะขัดต่อประมวลกฏหมายที่ดิน พ.ศ.2497 จึงตกเป็นโมฆะตามมาตร 113 (ปัจจุบันคือ มาตรา 150)[3]
(ข) เป็นการพ้นวิสัย    กิจการใดมีวัตถุประสงค์เป็นการพ้นวิสัย ย่อมหมายความว่าประโยชน์หรือผลสุดท้ายที่คู้สัญญามุ่งประสงค์จะได้รับนั้น ไม่อาจอยู่ในวิสัยที่จะประสบผลสำเร็จได้เลยอย่างแน่แท้”[4]                                               
(ค) เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน      ในเรื่องนี้กฏหมายได้บัญญัติไว้อย่างกว้างๆ ไม่มีบทวิเคราะห์ศัพท์ไว้ ดังนั้นผู้ศึกษาจึงต้องศึกษาความหมายของเรื่องนี้จากคำอธิบายของนักวิชาการ ทางนิติศาสตร์และแนวคำพิพากษาฏีกา      ศ.ดร.จิ๊ด เศรษฐบุตร ได้อธิบายไว้ [5] สรุปได้ว่า หลักการเรื่องความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำแนกออกเป็น 2ประการ คือ ความสมเรียบร้อยทางการเมือง และความสงบเรียบร้อยทางเศรษฐกิจ

แบบของนิติกรรม
             โดยทั่วไปการแสดงเจตนาทำนิติกรรมไม่ต้องมีแบบแต่อย่างไรแต่ในบางกรณีกฏหมายได้ กำหนดวิธีแสดงเจนตาทำนิติกรรมหรือแบบของนิติกรรมไว้ อาทิ การซื้อขายอสังหริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์พิเศษ สัญญาเช่าซื้อ การทำผิดนัยกรรม โดยในแต่ละเรื่องกฏหมายก้มีบทบัญญัติที่แตกต่างกันออกไป  ทั้งนี้ ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติบังคับให้นิติกรรมสัญญาบางประเภทต้องทำตามแบบ ถ้าฝ่าฝืนไม่ทำตามแบบ การนั้นเป็นโมฆะ (ป.พ.พ. มาตรา 152)”

 การแสดงเจตนาทำนิติกรรม
                ในการจะพิจารณาว่านิติกรรมมีความสมบูรณ์บังคับกันได้หรือไม่เพียงใดนอกจากจะ ดูหลักเกณฑ์ทั้งประการที่กล่าวมาข้างต้นแล้วนั้น ยังมีหลักเกณฑ์ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ หลักเกณฑ์ว่าด้วยการแสดงเจตนาของคู่สัญญา โดยมีกฏหมายบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ ในประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ๑ ลักษณะ๔ หมวด๒ มาตรา ๑๕๔-๑๗๑ อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (Computer Crime)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น