25 ส.ค. 2556

1.ที่มาของกฏหมายไทย


ที่มาของกฎหมาย

ที่มาของระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร
                1.กฎหมายลายลักษณ์อักษร ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร เป็นระบบที่สืบทอดมาจากกฎหมายโรมัน ซึ่งให้ความสำคัญกับตัวบทกฎหมายที่บัญญัติขึ้นใช้โดยถูกต้องตามกระบวนการบัญญัติกฎหมาย ดังนั้นที่มาประการสำคัญของระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร ก็คือกฎหมายที่มีการบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งอาจมีหลายลักษณะด้วยกัน เช่น รัฐธรรมนูญ ประมวลกฎหมาย พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง เป็นต้น

                2.จารีตประเพณี ในบางครั้งการบัญญัติกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร จะให้ครอบคลุมทุกเรื่องเป็นไปได้ยาก จึงต้องมีการนำเอาจารีตประเพณี มาบัญญัติใช้เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรด้วย เช่น การชกมวยบนเวที ถ้าเป็นไปอย่างถูกต้องตามกติกา ถึงแม้ว่าคู่ต่อสู้จะบาดเจ็บหรือเสียชีวิตก็ไม่มีความผิด หรือแพทย์ที่ตัดแขนตัดขาคนไข้โดยที่คนไข้ยินยอมก็ไม่มีความผิด เป็นต้น เท่าที่ผ่านมายังไม่มีการฟ้องร้องคดีเรื่องเหล่านี้เลย ซึ่งคงจะเป็นเพราะจารีตประเพณีที่รู้กันโดยทั่วไปว่าเป็นเสมือนกฎหมาย
                3.หลักกฎหมายทั่วไป ในบางครั้งถึงแม้จะมีกฎหมายลายลักษณ์อักษร และกฎหมายจารีตประเพณี มาใช้พิจารณาตัดสินความแล้วก็ตาม แต่ก็อาจไม่เพียงพอครอบคลุมได้ทุกเรื่อง จึงต้องมีการนำเอาหลักกฎหมายทั่วไป ซึ่งประเทศอื่น ๆ ที่มีความก้าวหน้าทางกฎหมาย ได้ยอมรับกฎหมายนั้นแล้ว มาปรับใช้ในการพิจารณาตัดสินคดีความด้วย เช่น หลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิ์ดีกว่าผู้รับโอน โจทย์พิสูจน์ไม่ได้ต้องปล่อยตัวจำเลย คดีอย่างเดียวกันต้องพิพากษาตัดสินเหมือนกัน ฯลฯ เป็นต้น

ที่มาของกฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
                1.จารีตประเพณี
ถือว่าเป็นที่มาประการสำคัญของระบบกฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เนื่องจากกฎหมายระบบนี้เกิดจากการนำเอาจารีตประเพณี ซึ่งคนในสังคมยอมรับและปฏิบัติสืบต่อกันมานาน มาใช้เป็นหลักในการพิจารณาตัดสินคดีความ
                2.คำพิพากษาของศาลจารีตประเพณีใดที่ถูกนำมาใช้เป็นหลักในการพิจารณาตัดสินคดีความแล้ว ก็จะกลายเป็นคำพิพากษาของศาล ซึ่งคำพิพากษาบางเรื่องอาจถูกนำไปใช้เป็นหลัก หรือเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาตัดสินคดีความต่อ ๆ ไป คำพิพากษาของศาลจึงเป็นที่มาอีกประการหนึ่งของระบบกฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
                3.กฎหมายลายลักษณ์อักษร ในสมัยต่อ ๆ มาบ้านเมืองเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว การที่จะรอให้จารีตประเพณีเกิดขึ้นย่อมไม่ทันกาลบางครั้งจึงจำเป็นต้องสร้างกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรขึ้นมาใช้ด้วย
                4.ความเห็นของนักนิติศาสตร์ ระบบกฎหายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ยังยอมรับความเห็นของนักนิติศาสตร์มาใช้เป็นหลักในการตัดสินคดีความด้วย เพราะนักนิติศาสตร์เป็นผู้ที่ศึกษากฎหมายอยู่เสมอ เป็นผู้ที่มีความรู้ ความคิด มีเหตุผล ความเห็นของนักนิติศาสตร์ที่มีชื่อเสสียงและเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป ย่อมมีน้ำหนักพอที่จะนำไปใช้อ้างอิงในการพิจารณาตัดสินความได้
                5.หลักความยุติธรรมหรือมโนธรรมของผู้พิพากษา ในระยะหลังที่บ้านเมืองเจริญขึ้นสภาพสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ก็เปลี่ยนแปลงไป การใช้จารีตประเพณีและคำพิพากษาก่อน ๆ มาเป็นหลักในการพิจารณาตัดสินคดีความอาจไม่ยุติธรรม จึงเกิดศาลระบบใหม่ขึ้น ซึ่งศาลระบบนี้จะไม่ผูกมัดกับจารีตประเพณีหรือคำพิพากษาของศาลเดิม แต่จะยึดหลักความยุติธรรมและให้ความเป็นธรรมแก่คู่กรณีซึ่งเรียกว่ามโนธรรมของผู้พิพากษา(Squity)ซึ่งต่อมาได้รับการยอมรับเป็นส่วนหนึ่งของระบบกฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร

ประเภทของกฎหมาย
                 
การแบ่งประเภทของกฎหมาย อาจแบ่งได้หลายลักษณะ ขึ้นอยู่กับผู้แบ่งว่าจะใช้อะไรเป็นหลัก แต่โดยทั่วไปแล้วเราจะแบ่งอย่างคร่าว ๆ ก่อนโดยแบ่งกฎหมายออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ กฎหมายภายใน ซึ่งเป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นใช้โดยองค์กรที่มีอำนาจภายในรัฐหรือประเทศ และกฎหมายภายนอก ซึ่งเป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นจากสนธิสัญญา หรือข้อตกลงระหว่างประเทศ   

                กฎหมายภายใน และกฎหมายภายนอก ยังอาจแบ่งย่อยได้อีกหลายลักษณะ ตามหลักเกณฑ์ที่แตกต่างกัน ดังนี้

   กฎหมายภายใน แบ่งได้หลายลักษณะตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
   1. ใช้เนื้อหาของกฎหมายเป็นหลักเกณฑ์การแบ่ง แบ่งกฎหมายออกเป็น 2 ประเภท คือ
                1.1 กฎหมายลายลักษณ์อักษร ได้แก่ ตัวบทกฎหมายต่าง ๆ ที่บัญญัติขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร โดยองค์กรที่มีอำนาจตามกระบวนการนิติบัญญัติ เช่น รัฐธรรมนูญ ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พระราชบัญญัติต่าง ๆ ฯลฯ เป็นต้น
                1.2 กฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ จารีตประเพณีต่าง ๆ ที่นำมาเป็นหลักในการพิจารณาตัดสินคดีความ ดังได้กล่าวมาแล้วในเรื่องที่มาของกฎหมาย ซึ่งในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยก็มีบทบัญญัติไว้ในมาตรา 4 วรรค 2 ว่า เมื่อไม่มีบทกฎหมายใดที่จะยกมาปรับแก้คดีได้ท่านให้วินิจฉัยคดีนั้นตามคลองจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น
   2. ใช้สภาพบังคับกฎหมายเป็นหลักในการแบ่ง แบ่งกฎหมายออกเป็น 2 ประเภท คือ
                2.1 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา ได้แก่ กฎหมายต่าง ๆ ที่มีโทษตามบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา เช่น ประมวลกฎหมายอาญาพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พระราชบัญญัติรับราชการทหาร ฯลฯ เป็นต้น
  
 2.2กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่งสภาพบังคับทางแพ่งมิได้มีบัญญัติไว้ชัดเจนเหมือนสภาพบังคับทางอาญาแต่ก็อาจสังเกตได้จากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่น การบังคับชำระหนี้ การชดใช้ค่าเสียหาย หรืออาจสังเกตได้อย่างง่าย ๆ คือ กฎหมายใดที่ไม่มีบทบัญญัติกำหนดโทษทางอาญา ก็ย่อมเป็นกฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง
   3. ใช้บทบาทของกฎหมายเป็นหลักเกณฑ์ในการแบ่ง แบ่งกฎหมายออกเป็น 2 ประเภท คือ

                 3.1 กฎหมายสารบัญญัติ ได้แก่ กฎหมายที่กล่าวถึงการกระทำต่าง ๆ ที่เป็นองค์ประกอบของความผิดโดยทั่วไปแล้วกฎหมายส่วนใหญ่ จะเป็นกฎหมายสารบัญญัติ
                3.2 กฎหมายวิธีสบัญญัติ ได้แก่ กฎหมายที่กล่าวถึงวิธีการที่จะนำกฎหมายสารบัญญัติไปใช้ว่าเมื่อมีการทำผิดบทบัญญัติกฎหมาย จะฟ้องร้องอย่างไร จะพิจารณาตัดสินอย่างไร พูดให้เข้าใจง่าย ๆ กฎหมายวิธีสบัญญัติก็คือ กฎหมายที่กล่าวถึงวิธีการเอาตัวผู้กระทำผิดไปรับสภาพบังคับนั่นเอง เช่น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งกฎหมายวิธีพิจารณาความในศาลแขวงกฎหมายวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว เป็นต้น
   4. ใช้ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนเป็นหลักเกณฑ์ในการแบ่ง แบ่งกฎหมายออกเป็น 2 ประเภท คือ
                4.1 กฎหมายเอกชน ได้แก่กฎหมายที่บัญญัติถึงความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนด้วยกัน โดยที่รัฐไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จำกัด เป็นต้น

                4.2 กฎหมายมหาชนได้แก่กฎหมายที่บัญญัติถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนในฐานะที่รัฐเป็นผู้ปกครองจงต้องมีอำนาจบังคับให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสงบสุข เช่น รัฐธรรมนูญ ประมวลกฎหมายอาญา พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พระราชบัญญัติป้องกันการค้ากำไรเกินควร หรือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความต่าง ๆ เป็นต้น
       กฎหมายภายนอก กฎหมายภายนอก หรือกฎหมายระหว่างประเทศ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
                 1. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง ได้แก่ กฎเกณฑ์ ข้อบังคับที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐที่จะปฏิบัติต่อกันเมื่อมีความขัดแย้งหรือเกิดข้อพิพาทขึ้น เช่น กฎบัตรสหประชาชาติ หรือได้แก่ สนธิสัญญา หรือเกิดจากข้อตกลงทั่วไป ระหว่างรัฐหนึ่งกับรัฐหนึ่งหรือหลายรัฐที่เป็นคู่ประเทศภาคีซึ่งให้สัตยาบันร่วมกันแล้วก็ใช้บังคับได้เช่น สนธิสัญญาไปรษณีย์สากล เป็นต้น
                  2. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล ได้แก่ บทบัญญัติที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลรัฐหนึ่งกับอีกรัฐหนึ่งเมื่อเกิดความขัดแย้งข้อพิพาทขึ้นจะมีหลักเกณฑ์วิธีการพิจารณาตัดสินคดีความอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบกัน เช่น ประเทศไทยเรามี พระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกับแห่งกฎหมาย ซึ่งใช้บังคับกับบุคคลที่อยู่ในประเทศไทยกับบุคคลที่อยู่ในประเทศอื่น ๆ
                  3. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา ได้แก่ สนธิสัญญา หรือข้อตกลงเกี่ยวกับการกระทำความผิดทางอาญาซึ่งประเทศหนึ่งยินยอมหรือรับรองให้ศาลของอีกประเทศหนึ่งมีอำนาจพิจารณาตัดสินคดีและลงโทษบุคคลประเทศของตนที่ไปกระทำความผิดในประเทศนั้นได้ เช่นคนไทยไปเที่ยวสหรัฐอเมริกาแล้วกระทำความผิด ศาลสหรัฐอเมริกาก็พิจารณาตัดสินลงโทษได้หรือบุคคลประเทศหนึ่งกระทำความผิดแล้วหนีไปอีกประเทศหนึ่ง เป็นการยากลำบากที่จะนำตัวมาลงโทษได้ จึงมีการทำสนธิสัญญาว่าด้วยการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนเพื่อให้ประเทศที่ผู้กระทำความผิดหนีเข้าไปจับตัวส่งกลับมาลงโทษ ซึ่งถือว่าเป็นการร่วมมือกันปราบปรามอาชญากรรม ปัจจุบันนี้ประเทศไทยทำสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนกลับ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา เบลเยี่ยม และอิตาลี ฯลฯ เป็นต้น

2. นิติกรรม แบบนิติกรรม ความสมบูรณ์ของนิติกรรม

นิติกรรม แบบนิติกรรม ความสมบูรณ์ของนิติกรรม
นิยาม
             ประมลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตาร 149 บัญญัติว่า นิติกรรม หมายความว่า การใดๆ อันกระทำลงโดยชอบด้วยกฏหมาย และด้วยใจสมัคร มุ่งตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล เพื่อจะก่อเปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ

หลักเกณท์ในการพิจณาความสมบูรณ์ของนิติกรรม
           1. ความสามารถของผู้ทำนิติกรรม
           2. วัตถุประสงค์ของนิติกรรม
           3. แบบของนิติกรรม
           4. การแสดงเจตนาทำนิติกรรม

ความสามารถของผู้ทำนิติกรรม
                “การใดมิได้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฏหมายว่าด้วยความสามารถของบุคคล การนั้นเป็นโมฆีนะความ สามารถของนิติกรรม นับว่าเป็นข้อสำคัญเบื้องต้นที่จะต้องคำนึงถึงเป็นประการแรก ทั้งนี้เพราะหากผู้ทำนิติกรรมมีความสามารถบกพร่องก็จะเป็นผลให้นิติกรรมที่ แสดงออกมานั้นมีผลเสื่อมเสียไปด้วยดังนั้นผู้ศึกษาจึงควรมีความเข้าใจในหลักฏกหมายที่บัญญติเกี่ยวกับความสามารถของบุคคลในการทำนิติกรรมก่อน

 วัตถุประสงค์ของนิติกรรม
วัตถุประสงค์ของนิติกรรม คือ สิทธิหรือประโยชน์ที่ผู้แสดงเจตนาทำนิติกรรมมุ่งประสงค์และกำหนดขึ้นในการทำนิติกรรม”[2] ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า วัตถุประสงค์ของนิติกรรม คือ เจตนาที่ผู้แสดงเจตนาต้องการให้ปรากฏผลอย่างใดๆขึ้น    ประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 บัญญัติว่า การ ใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยชัดแจ้ง ด้วยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัย หรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็น โมฆะจากตัวบทของมาตราดังกล่าว สามารถแบ่งได้ดังนี้
(ก) มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยชัดแจ้งด้วย กฎหมาย       ในกรณีนี้ต้องดูเป็นเรื่องว่าฏกหมายห้ามอะไรบ้าง

ตัวอย่าง
            คนต่างด้าวซื้อที่ดินโดยคนไทยเป็นผู้รับโอนแทน วัตถุประสงค์ของสัญญาซื้อขายจึงเป็นการต้องห้ามโดยชัดแจ้งโดยกฏหมาย เพราะขัดต่อประมวลกฏหมายที่ดิน พ.ศ.2497 จึงตกเป็นโมฆะตามมาตร 113 (ปัจจุบันคือ มาตรา 150)[3]
(ข) เป็นการพ้นวิสัย    กิจการใดมีวัตถุประสงค์เป็นการพ้นวิสัย ย่อมหมายความว่าประโยชน์หรือผลสุดท้ายที่คู้สัญญามุ่งประสงค์จะได้รับนั้น ไม่อาจอยู่ในวิสัยที่จะประสบผลสำเร็จได้เลยอย่างแน่แท้”[4]                                               
(ค) เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน      ในเรื่องนี้กฏหมายได้บัญญัติไว้อย่างกว้างๆ ไม่มีบทวิเคราะห์ศัพท์ไว้ ดังนั้นผู้ศึกษาจึงต้องศึกษาความหมายของเรื่องนี้จากคำอธิบายของนักวิชาการ ทางนิติศาสตร์และแนวคำพิพากษาฏีกา      ศ.ดร.จิ๊ด เศรษฐบุตร ได้อธิบายไว้ [5] สรุปได้ว่า หลักการเรื่องความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำแนกออกเป็น 2ประการ คือ ความสมเรียบร้อยทางการเมือง และความสงบเรียบร้อยทางเศรษฐกิจ

แบบของนิติกรรม
             โดยทั่วไปการแสดงเจตนาทำนิติกรรมไม่ต้องมีแบบแต่อย่างไรแต่ในบางกรณีกฏหมายได้ กำหนดวิธีแสดงเจนตาทำนิติกรรมหรือแบบของนิติกรรมไว้ อาทิ การซื้อขายอสังหริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์พิเศษ สัญญาเช่าซื้อ การทำผิดนัยกรรม โดยในแต่ละเรื่องกฏหมายก้มีบทบัญญัติที่แตกต่างกันออกไป  ทั้งนี้ ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติบังคับให้นิติกรรมสัญญาบางประเภทต้องทำตามแบบ ถ้าฝ่าฝืนไม่ทำตามแบบ การนั้นเป็นโมฆะ (ป.พ.พ. มาตรา 152)”

 การแสดงเจตนาทำนิติกรรม
                ในการจะพิจารณาว่านิติกรรมมีความสมบูรณ์บังคับกันได้หรือไม่เพียงใดนอกจากจะ ดูหลักเกณฑ์ทั้งประการที่กล่าวมาข้างต้นแล้วนั้น ยังมีหลักเกณฑ์ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ หลักเกณฑ์ว่าด้วยการแสดงเจตนาของคู่สัญญา โดยมีกฏหมายบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ ในประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ๑ ลักษณะ๔ หมวด๒ มาตรา ๑๕๔-๑๗๑ อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (Computer Crime)

3.อาชญากรรมคอมพิวเตอร์

อาชญากรรมคอมพิวเตอร์
อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ หมายถึง     การกระทำผิดทางอาญาในระบบคอมพิวเตอร์ หรือการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อกระทำผิดทางอาญา เช่น ทำลาย เปลี่ยนแปลง หรือขโมยข้อมูลต่าง ๆ เป็นต้น   ระบบคอมพิวเตอร์ในที่นี้ หมายรวมถึงระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เชื่อมกับระบบดังกล่าวด้วย
สำหรับอาชญากรรมในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (เช่น อินเทอร์เน็ต) อาจเรียกได้อีกอย่างหนึ่ง   คือ
 อาชญากรรมไซเบอร์ (อังกฤษ: Cybercrime) อาชญากรที่ก่ออาชญากรรมประเภทนี้ มักถูกเรียกว่า แครกเกอร์
อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ คือ
1.การกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ อันทำให้เหยื่อได้รับความเสียหาย และผู้กระทำได้รับผลประโยชน์ตอบแทน
 2.การกระทำผิดกฎหมายใด ๆ ซึ่งใช้เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือและในการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่เพื่อนำผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี ต้องใช้ความรู้ทางเทคโนโลยีเช่นเดียวกัน
 การประกอบอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ได้ก่อให้เกิดความเสียหาย ต่อเศรษฐกิจของประเทศจำนวนมหาศาล อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ จึงจัดเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ อาชญากรรมทางธุรกิจรูปแบบ หนึ่งที่มีความสำคัญ

 อาชญากรทางคอมพิวเตอร์
1. พวกเด็กหัดใหม่ (Novice)
2. พวกวิกลจริต (Deranged persons)
3. อาชญากรที่รวมกลุ่มกระทำผิด (Organized crime)
4. อาชญากรอาชีพ (Career)
5. พวกหัวพัฒนา มีความก้าวหน้า(Con artists)
6. พวกคลั่งลัทธิ(Dremer) / พวกช่างคิดช่างฝัน(Ideologues)
7. ผู้ที่มีความรู้และทักษะด้านคอมพิวเตอร์อย่างดี (Hacker/Cracker )

ห้างหุ้นส่วนสามัญ

4.คุณลักษณะของ ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนสามัญ บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด

 ลักษณะของห้างหุ้นส่วน
ห้างหุ้นส่วนจะมีต้องมีบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปตกลงใจมาเข้ากันเพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน โดยประสงค์จะแบ่งผลกำไรที่พึงได้จากกิจกรรมที่ทำนั้น  ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เรียกว่า ห้างหุ้นส่วนการเป็นห้างหุ้นส่วนกฎหมายไม่บังคับให้จะทะเบียน  จะจดหรือไม่จดทะเบียนก็ได้      ถ้าไม่จดทะเบียนเรียกว่า ห้างหุ้นส่วนสามัญ”  แต่ถ้าจดทะเบียนกับนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทเรียกวา ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล”  หรือ ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน

การจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญ
การจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญ เป็นความสมัครใจของบุคคลที่มาร่วมกันเพื่อทำธุรกิจส่วนมากจะเป็นการดำเนินธุรกิจขนาดเล็กและภายในครอบครัว การจัดตั้งมีหลักเกณฑ์ตาม ป.พ.พ.มาตรา  1012 ดังนี้
1. เป็นสัญญาระหว่างบุคคลสองคนขึ้นไป  จะเป็นหญิงหรือชายก็และบุคคลที่จะเข้ามาร่วมทำสัญญาต้องเป็นบุคคลที่มีความสามารถเข้าทำสัญญาได้ตามกฏหมาย คือ บรรลุนิติภาวะแล้วหรืออายุยังไม่ถึง 20 ปี แต่บรรลุนิติภาวะโดยการ   สมรสและไม่เป็นบุคคลที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถดังนั้น  สามี ภริยา ก็อาจดำเนินธุรกิจเป็นหุ้นส่วนกันได้

              2. เป็นการตกลงเพื่อทำกิจการร่วมกัน  ทำกิจการร่วมกัน  หมายถึง มีการตกลงได้เสียร่วมกันกิจการที่ทำอาจเป็นธุรกิจค้าขาย ธุรกิจการเกษตร  ธุรกิจอุตสาหกรรม  หรือธุรกิจในครอบครัวก็ได้                                                                                             3. ต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาลงหุ้น อันได้แก่ เงินตรา ทรัพย์สิน หรือลงด้วยแรงงานก็ได้(ป.พ.พ.มาตรา 1026)จึงเห็นได้ว่า   หุ้นหรือทุนที่จะนำมาลงมีได้ 3 ประการ คือ      
     3.1 ลงหุ้นด้วยเงินตรา คือ นำเงินมาลงหุ้นจริง ๆ ซึ่งอาจไม่คิดเป็นจำนวนหุ้นแต่อาจบอกเป็นยอดจำนวนเงิน     เท่าไรก็ได้
     3.2 ลงหุ้นด้วยทรัพย์สินอื่น คำว่า ทรัพย์สินอาจเป็นที่ดิน เครื่องจักรกล รถยนต์ อาคารสำนักงาน เป็นต้น  แล้วตีราคาทรัพย์สินนั้นเป็นจำนวนเงินก็ได้  การลงหุ้นด้วยวิธีนี้อาจนำทรัพย์สินมาในลักษณะยกให้เป็นของห้างหรือให้ใช้ระหว่างที่เป็นผู้ถือหุ้นของห้างอยู่ก็ได้  
      3.3 ลงหุ้นด้วยแรงงาน แรงงานอาจเป็นแรงกาย หรือใช้สมอง คือ  ความคิดก็ได้  ค่าแรงควรตีราคากันไว้ก่อนล่วงหน้า  เพื่อผลในการคำนวณกำไรที่จะแบ่งปันกัน  แต่ถ้ามิได้ตีราคาค่าแรงไว้ ก็ถือว่าได้เท่ากันกับผู้ลงหุ้นด้วยเงินตราหรือทรัพย์สิน(ป.พ.พ.มาตรา 1028)                                                                                                                                                                        4. มีวัตถุประสงค์เพื่อนำกำไรจากกิจการนั้นมาแบ่งปันกัน กล่าวคือ ผู้ที่มาทำสัญญาตกลงทำกิจการร่วมกันต้องมีจุด ประสงค์หรือวัตถุประสงค์หวังผลกำไรและ นำกำไรจากกิจการที่ทำนั้นมาแบ่งปันตามสัดส่วนที่ลงหุ้นถ้าขาดทุนก้ต้องขาดทุนร่วมกัน หากไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งปันกำไรก็จะไม่ใช่ห้างหุ้นส่วน                                                                                            5. แบบแห่งสัญญา ไม่มีกฎหมายบังคับเรื่องแบบแห่งสัญญา ฉะนั้น สัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วน จะทำเป็นหนังสือหรือไม่ทำก็ได้  หรือตกลงกันด้วยวาจาก็ได้  และไม่ต้องมีการจดทะเบียน                                                                                                      6.ไม่เป็นนิติบุคคล  มีสภาพเป็นบุคคลธรรมดา หุ้นส่วนทุกคนคงเสียภาษีแบบบุคคลธรรมดา
โดยสรุป ห้างหุ้นส่วนสามัญ ก็คือบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปร่วมกันทำสัญญา นำเงินทรัพย์สิน หรือแรงานมาลงทุนเพื่อทำกิจการร่วมกันโดยประสงค์จะแบ่งปันกำไรจากกิจการที่ทำนั้นโดยไม่ต้องจดทะเบียนห้าง  และไม่เป็นนิติบุคคล

การดำเนินงานของห้างหุ้นส่วนสามัญ
การดำเนินงานของห้างหุ้นส่วนสามัญ หมายถึง ผู้เป็นหุ้นส่วนดำเนินการการจัดการห้าง มีสิทธิหน้าที่ระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนรวมทั้งมีความรับผิดต่อบุคคลภายนอกร่วมกัน แยกได้ดังนี้

1.การจัดการห้าง
 การจัดการห้าง หมายถึง ผู้เป็นหุ้นส่วนต่างก็มีหน้าที่ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งหลักกฎหมายวางไว้ว่าการจัดการห้างหุ้นส่วน ผู้เป็นหุ้นส่วนย่อมจัดการห้างหุ้นส่วนนั้นได้ทุกคน โดยให้ถือว่าผู้เป็นหุ้นส่วนเป็น ผู้จัดการ"ทุกคนและถ้ามีการตกลงให้ผู้เป็นหุ้นส่วนเพียงคนเดียวหรือหลายคนเป็นผู้จัดการห้าง  ผู้เป็นหุ้นส่วนที่ไม่ได้เป็นผู้จัดการห้างย่อมมี สิทธิที่จะไต่ถามถึงการทำงานของห้างหุ้นส่วนที่จัดการอยู่นั้นได้ทุกเมื่อ เรียกว่า การดูแลครอบงำการจัดการห้างหุ้นส่วน  สามัญ”  ดังนั้น การจัดการห้างหุ้นส่วนสามัญ  จึงอาจเป็นการร่วมกันทำงานทั้งหมดหรือแบ่งงานกันทำ  อาจมีได้ 3 ลักษณะ คือ
1.1 การจัดการโดยตรง คือหุ้นส่วนเข้ามาบริหารร่วมกันทุกคน เป็นผู้จัดการทุกคน อาจแบ่งหน้าที่กันทำงาน เช่น คนหนึ่งทำหน้าที่ดูแลจัดระเบียบสำนักงาน อีกคนหนึ่งติดต่อลูกค้า ตลาดการค้า  หรืออีกคนหนึ่งบริการรับและส่งสินค้า  เป็นต้น แต่ผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งคนใดจะเข้าทำสัญญาอันใด  ซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนอีกคนหนึ่งทักท้วงนั้นไม่ได้ (ป.พ.พ.มาตรา 1033)
 1.2 จัดการโดยเสียงข้างมาก ถ้าได้ตกลงกันไว้ว่าการจัดการงานของห้างให้เป็นไปตามเสียงข้างมากของผู้ถือหุ้น   ให้ผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งมีเสียงเป็นคะแนนหนึ่งเสียงโดยไม่ต้องคำนึงจำนวนหุ้นที่ลงไว้ มากหรือน้อยเพียงใด (ป.พ.พ.มาตรา 1034)
 1.3 การดูแลครอบงำการจัดการ คือ  มีการจัดตั้งหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่ง เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการแต่ผู้เดียวบุคคลที่เหลือไม่ใช่ผู้จัดการแต่ย่อมมีสิทธิที่จะตรวจคัดสำเนาสมุดบัญชี และเอกสารใด ๆ ของห้างหุ้นส่วนได้  สิทธิอันนี้เรียกกันโดยทั่วไปว่าสิทธิการดูแลครอบงำการจัดการห้างหุ้นส่วนสามัญ”    (ป.พ.พ.มาตรา 1037)

บริษัทจำกัด
บริษัทมหาชน
              บริษัทมหาชน คือ บริษัทจำกัด ซึ่งตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. บริษัทมหาชน พ.ศ. 2535 โดยมีข้อกำหนดให้บริษัทซึ่งดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว สามารถนำหุ้นจำนวนหนึ่งของบริษัทออกจำหน่ายให้ประชาชนทั่วไปได้ ประชาชนผู้ซื้อหุ้นจึงเป็นเจ้าของกิจการนั้นตามสัดส่วนของหุ้นที่ถืออยู่ และหุ้นนี้อาจขายให้ผู้อื่นได้ตามราคาหุ้นในแต่ละวัน ผู้ที่ดำเนินการขายและซื้อหุ้นของบริษัทจำกัด (มหาชน) คือ ตลาดหลักทรัพย์ โดยในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Public Limited Company แล้วย่อได้เป็น Plc หรือ PLC (Public Limited Company) เพื่อแสดงว่าเป็นบริษัทจำกัด ประเภทมหาชน

 การจดทะเบียนบริษัทและห้างหุ้นส่วน
               ปัจจุบันได้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ใหม่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนบริษัททำให้การจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด และจดทะเบียนบริษัท จำกัดมีการเปลี่ยนแปลงขั้นตอนและวิธีการพอสมควร เช่น การจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจำกัด จัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัด เปลี่ยนแปลงกรรมการบริษัท เปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น เปลี่ยนแปลงที่อยู่บริษัท เป็นต้น ซึ่งขั้นตอนและวิธีการที่เปลี่ยนแปลงนั้นมีทั้ง จำนวนบุคคลผู้เป็นหุ้นส่วน กำหนดระยะเวลาบอกกล่าวการประชุม และที่สำคัญเรื่องการประกาศหนังสือพิมพ์ที่มีการกำหนดระยะ เวลาและรายการที่ต้องประกาศไว้แตกต่างจากเดิม โดยขั้นแรกจะกล่าวถึงการจัดตั้งบริษัทจำกัดก่อน ดังนี้

การจดทะเบียนบริษัทจำกัด
                  บุคคล ใดๆ ที่ประสงค์จะจัดตั้งบริษัทเป็นของตนเอง จำต้องรู้โครงสร้างเบื้องต้นเกี่ยวกับบริษัทจำกัดก่อน เพื่อนำมาเป็นข้อมูล จัดเตรียมจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ซึ่งโครงสร้างของบริษัทจำกัด มีดังต่อไปนี้

โครงสร้างของบริษัทจำกัด
                 ต้องมีผู้ร่วมลงลงทุนอย่างน้อย 7 คน โดยตาม ป.พ.พ. ที่แก้ไขใหม่ มาตรา1097 บัญญัติว่า บุคคลใดๆ ตั้งแต่สามคนขึ้นไป จะเริ่มก่อการตั้งบริษัทจำกัดก็ได้...ซึ่งหมายความว่า บริษัทจำกัดต้องมีผู้ร่วมลงทุน อย่างน้อย 3 คน ซึ่งแตกต่างจากเดิมซึ่ง กฎหมายบัญญัติไว้ตั้งแต่ 7 คนขึ้นไป โดยการแก้ไขกฎหมายใหม่นี้ทำให้มีการจัดตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่ได้ง่ายขึ้น เพราะต้องหา ผู้ร่วมลงทุนน้อยลงมีการแบ่งทุนออกเป็นหุ้น และมีมูลค่าหุ้นเท่าๆกัน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1096 มูลค่าหุ้นต้องไม่ต่ำกว่า 5 บาท ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1117 ความรับผิดของผู้ถือหุ้นมีจำกัด กล่าวคือ จะมีเฉพาะจำนวนเงินค่าหุ้นที่ยังส่งใช้ไม่ครบเท่านั้น (การชำระค่าหุ้น)ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1096ต้องจดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

 บริษัทมหาชนจำกัด
           บริษัทมหาชนจำกัด ถูกกำหนดขึ้นโดยพระราชบัญญัติ บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 โดยมีข้อกำหนดให้บริษัทซึ่งดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว สามารถนำหุ้นจำนวนหนึ่งของบริษัทออกจำหน่ายให้ประชาชนทั่วไปได้ และประชาชนผู้ซื้อหุ้นจึงเป็นเจ้าของกิจการนั้นตามสัดส่วนของหุ้นที่ถืออยู่. และหุ้นนี้อาจขายให้ผู้อื่นได้ตามราคาหุ้นในแต่ละวันผู้ที่ดำเนินการขายและซื้อหุ้นของบริษัทจำกัด (มหาชน) คือ ตลาดหลักทรัพย์ กฎและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการขายหุ้นต่อประชาชนจะถูกกำหนดตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 โดยมีคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์คอยกำกับดูแล โดยในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Public Limited Company แล้วย่อได้เป็น Plc หรือ PLC (Public Limited Company) เพื่อแสดงว่าเป็นบริษัทจำกัด ประเภทมหาชน แตกต่างไปจากบริษัทประเภทprivate หรืออาจย่อว่า Pcl หรือ PCL (Private Company Limited)ซึ่งแต่เดิมนั้น บริษัทมหาชนถูกกำหนดให้ต้องมีผู้ถือหุ้นอย่างน้อย 100 คน และต้องมีผู้ถือหุ้นรายย่อยถือหุ้นอย่างน้อย 50% ของทุนจดทะเบียน แต่หลังจากประกาศใช้พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 แล้ว เงื่อนไขของการมีผู้ถือหุ้นดังกล่าวได้ถูกยกเลิกไป และกำหนดให้บริษัทมหาชนจำกัดจะมีผู้ถือหุ้นกี่คนก็ได้ แต่ต้องไม่น้อยกว่า 15 คน เท่านั้น

ส่วนสาระสำคัญของการเป็นบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535
             1. บริษัท มหาชน จำกัด ต้องแบ่งทุนออกเป็นหุ้น ซึ่งถือเป็นสาระสำคัญของการเป็นบริษัท ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเอกชนหรือบริษัทมหาชน ที่จะแบ่งทุนของบริษัทออกเป็นหน่วยเท่าๆ กัน
             2. ผู้ถือหุ้นมีความรับผิดจำกัด หากกิจการล้มละลาย หรือต้องปิดกิจการไป ผู้ถือหุ้นรับผิดชอบแค่สูญเสีย เงินลงทุนเท่านั้น
             3. บริษัทมีความประสงค์จะเสนอขายหุ้นต่อประชาชน โดยระบุความประสงค์เช่นนั้นไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิ
             4. บริษัทต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเสมอ
เงื่อนไขการตั้งบริษัทมหาชน
             1. มีผู้ถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 15 คน
             2. มีกรรมการบริษัทขั้นต่ำ 5 คน
             3. ไม่ได้จำกัดทุนจดทะเบียนว่าจะเป็น 1.0 ล้านบาท หรือ 10 ล้านบาท หรือ 100 ล้านบาท ฯลฯ ก็เป็นบริษัทมหาชนได้ทั้งนั้น
             4. บริษัทจำกัดในประเทศไทยสามารถที่จะแปรสภาพบริษัทของตัวเองให้เป็นบริษัทมหาชนได้ด้วยมติพิเศษตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทย
             5. บริษัทมหาชน สามารถจะออกขายหุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ ใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญ หุ้นกู้ ฯลฯให้กับนักลงทุนได้
             6. การขายหุ้นจะอยู่ภายใต้การกำกับของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลัก
บริษัทมหาชนจำกัด[แก้]
-โครงสร้างของบริษัทมหาชน ถือหุ้นหรือก็คือเจ้าของ แต่จะไม่ได้มีสิทธิในการเข้าไปดูแลงานของบริษัทโดยตรง แต่จะเลือกกลุ่มคนที่จะเข้าไปบริหารแทนหรือ " Board of Directors" หรือ "คณะกรรมการผู้บริหาร" ผ่านทางการประชุมที่เรียกว่า "การประชุมผู้ถือหุ้น" จากนั้น Board of Directors ก็จะมีการจัดประชุมที่เรียกว่าการ "ประชุมบอร์ดผู้บริหาร" หรือเรียกันสั้นๆว่าประชุมบอร์ด และเลือกตัวแทนที่เรียกว่า Representative director หรือที่ภาษาชาวบ้านอย่างเราๆ เรียกกันว่า CEO หรือ MD ที่มาทำหน้าที่บริหารงานและดูแลพนักงาน
-บริษัทมหาชนไม่ได้มีการกำหนดจำนวนกรรมการ แต่กรรมการต้องเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท กฎหมายยังกำหนดว่าต้องมีกรรมการไม่น้อยกว่า 5 คน และกรรมการไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งจะต้องมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย
-บริษัทมหาชน เป็นนิติบุคคลที่ระดมทุนเพื่อนำเงินเหล่านั้นไปลงทุน โดยผ่านการเห็นชอบของที่ประชุมผู้ถือหุ้นโดยที่บริษัททำการออกหุ้น สิทธิในการเป็นเจ้าของบริษัทคือผู้ถือหุ้น และบริษัทรวบรวมเงินเหล่านี้ไปใช้ในการขยายกิจการ เป็นสาเหตุให้เจ้าของธุรกิจต่างก็อยากเอาธุรกิจของตัวเองเข้าตลาดหุ้น เพราะว่าทำให้ระดมทุนได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าการกู้เงินจากธนาคารทั่วไป
-บริษัทมหาชนเป็นรูปแบบหนึ่งของการระดมทุนจากประชาชนโดยการซื้อหุ้น และจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนในรูปของเงินปันผล

การเลิกบริษัทมหาชน
             1. ศาลมีคำสั่งให้เลิก บริษัทบริษัทมหาชนล้มละลาย เมื่อผู้ถือหุ้นซึ่งมีหุ้นนับรวมกันไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนหุ้นได้ร้องขอให้ศาลเลิกบริษัท
             2. ที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงมติให้เลิกด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียง
             3. ผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติเกี่ยวกับการประชุมจัดตั้งบริษัท หรือการจัดทำรายงานการจัดตั้งบริษัท
             4. คณะกรรมการบริษัทไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติเกี่ยวกับการชำระเงินค่าหุ้น การโอนกรรมสิทธิทรัพย์สิน
             5. จำนวนผู้ถือหุ้นลดน้อยลงจนเหลือไม่ถึงสิบห้าคน

             6. กิจการของบริษัทดำเนินไปก็มีแต่จะขาดทุน และไม่มีหวังที่จะดำเนินกิจการให้ดีขึ้น